ในคาเฟ่เงียบสงบแห่งหนึ่งในเมืองเกนต์ ประเทศเบลเยี่ยม ชายคนหนึ่งกำลังหมุนแก้วเบียร์ทรงทิวลิปที่บรรจุเบียร์ Golden tripel อย่างแผ่วเบา มองดูฟองเบียร์ที่ค่อยๆ จับตัวเป็นชั้นราวกับมงกุฎ เขาถือมันด้วยความเคารพ ราวกับรู้ตัวว่ากำลังดื่มด่ำกับประวัติศาสตร์ ในขณะที่รอบตัวเขา… คาเฟ่เต็มไปด้วยเสียงสนทนาเป็นภาษาดัตช์แบบเฟลมิชที่ไพเราะนุ่มนวล กลิ่นของยีสต์กับเครื่องเทศก็อบอวลในอากาศดั่งธูปหอม
ข้ามพรมแดนไปยังเมืองอูเทรคต์ ประเทศเนเธอร์แลนด์ หญิงสาวคนหนึ่งพิงเคาน์เตอร์บาร์ในคาเฟ่ นิ้วมือของเธอกำแน่นรอบแก้วฟลุ้ยต์ (fluitje) ที่บรรจุเบียร์พิลสเนอร์ (Pilsner beer) เธอบรรจงจิบเบียร์ที่แสนจะทำให้เธอรู้สึกสดชื่น ในขณะเดียวกันเสียงหัวเราะของเพื่อนๆนั้นช่างฟังดูมีชีวิตชีวาราวกับคลื่นซัดฝั่ง ส่วนอีกด้านของร้าน บาร์เทนเดอร์กำลังเขียนใบเสร็จลงบนกระดาษแผ่นเล็กๆ แล้วหันกลับไปขัดแก้วอย่างมีจังหวะ เหมือนคนที่ทำแบบนี้มาแล้วนับสิบปี
เรื่องเล่าวัฒนธรรมการดื่มเบียร์นี้มาจากสองประเทศ สองเบียร์ และสองวัฒนธรรม — แต่ได้หลอมรวมเป็นวัฒนธรรมเดียวกัน

ทั้งประเทศเบลเยียมและเนเธอร์แลนด์ต่างก็มีรากเหง้าของการต้มเบียร์ย้อนกลับไปถึงสมัยยุคกลาง ในสมัยที่อารามไม่เพียงแต่เป็นศูนย์กลางทางจิตวิญญาณ แต่ยังเป็นแหล่งการหมักบ่มเบียร์ชั้นเยี่ยมอีกด้วย ในเบลเยียม อารามต่างๆ เช่น ออร์วัล (Orval), ชิเมย์ (Chimay) และเวสต์มัลเลอ (Westmalle) ได้กลายเป็นตำนานสำหรับการผลิต Ale (เครื่องดื่มแอลกอฮอล์จำพวกเบียร์ ที่ทำจากมอลต์จากข้าวบาเลย์) มีรสชาติที่เข้มข้นและซับซ้อน นอกจากนี้ยังมีเบียร์ที่ผลิตในอารามอันขึ้นชื่ออย่างเบียร์แทรปปิสต์ (Trappist) เป็นเบียร์ที่ผลิตในรั้วของนักบวชสายคาทอลิก และใช่ว่าจะผลิตแบบตามใจฉันนะคะ หากแต่การผลิตเบียร์เหล่านี้จะต้องเป็นไปตามกฏของอารามนั้นๆ เช่น จะต้องผลิตในอารามและนักบวชของอารามเท่านั้น, เงินที่ได้มาจากการขายจะต้องนำไปใช้บำรุงศาสนา ถึงแม้ว่าประวัติศาสตร์การทำเบียร์จะย้อนไปถึงยุคกลาง แต่กาลเวลาก็มิได้ทำให้ความนิยมของเบียร์ประเภทนี้ลดลง กลับกัน…เบียร์เหล่านี้ยังคงได้รับการยกย่องและความนิยมอย่างสูงมาจนถึงทุกวันนี้เลยล่ะค่ะ
ปัจจุบัน เบลเยียมมีโรงต้มเบียร์แทรปปิสต์อย่างเป็นทางการถึง 6 แห่ง จากทั้งหมด 11 แห่งทั่วโลก และยังมีเบียร์มากกว่า 1,500 ชนิด — ความหลากหลายนี้เองที่ทำให้ UNESCO ยกย่องวัฒนธรรมเบียร์ของเบลเยียมให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติในปี 2016
ในประเทศเนเธอร์แลนด์ การต้มเบียร์ในอารามก็ได้รับความนิยมมาโดยตลอดเช่นกัน โดยเฉพาะในจังหวัดทางใต้ของนอร์ธบราบันต์ (North Brabant) โรงต้มเบียร์แทรปปิสต์อย่าง La Trappe และ Zundert ยังคงสืบทอดมรดกนั้นต่อไป ถึงแม้ว่าสถานการณ์ของเบียร์ในเนเธอร์แลนด์จะแตกต่างจากประเทศเบลเยี่ยมอันเนื่องมาจากการปฏิรูปโปรเตสแตนต์ (Protestant Reformation) และการเติบโตด้านการค้าทางทะเลได้ทำให้เนเธอร์แลนด์หันมาเน้นการค้าที่มีประสิทธิภาพและการส่งออก จนกระทั่งในศตวรรษที่ 20 เบียร์เนเธอร์แลนด์กลายเป็นที่รู้จักในฐานะเบียร์ประเภทลาเกอร์สีอ่อน (pale lagers) เช่น ไฮเนเก้น (Heineken), โกรลช (Grolsch), และ แอมสเทล (Amstel) ที่ผ่านการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูงและถูกส่งออกไปทั่วโลก ทำให้เนเธอร์แลนด์ได้กลายเป็นประเทศผู้ส่งออกเบียร์รายใหญ่ที่สุดของโลก

แต่ใต้ความนิยมของเบียร์ที่ขายทั่วๆ ไป ทั้งสองประเทศก็ยังมีสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้น เช่น ในเบลเยียม เบียร์นั้นเปรียบเสมือนพิธีกรรม เบียร์แต่ละประเภทจะมีแก้วที่ใช้โดยเฉพาะ เพราะเบียร์แต่ละแบบนั้นมีเรื่องราวของมันเอง อย่าง เกอูซ (Gueuze) เบียร์ที่มาจากจาก Pajottenland ทำจากยีสต์ป่าและบ่มในถังไม้โอ๊ค จะถูกเทเหมือนแชมเปญ ส่วน ดับเบิล (Dubbel) สมควรที่จะถูกดื่มอย่างช้าๆ โดยรสชาติของผลไม้เข้มๆ ค่อยๆ ปล่อยกลิ่นออกมาเหมือนพรมทอมือของชาวเฟลมิช
จะเห็นได้ว่าแม้กระทั่งการเทเบียร์ก็ยังมีความสำคัญ — เพราะฟองเบียร์ที่ดีไม่ใช่แค่สวยงาม แต่ยังมีกลิ่นหอมและมีความหมายเหมือนงานศิลปะเลยล่ะค่ะ

ความแตกต่างทางวัฒนธรรมการดื่มเบียร์ระหว่างเบลเยียมและเนเธอร์แลนด์นั้นค่อนข้างจะชัดเจน โดยเบลเยียมเน้นไปที่พิธีกรรม ความเคารพ และที่มาของเบียร์จากแต่ละภูมิภาค ในขณะที่เนเธอร์แลนด์มักเน้นความสำคัญกับนวัตกรรม และใช้เบียร์ในการเข้าสังคม เปรียบเสมือนมหาวิหารที่คอยควบคุม กำหนดการผลิตเบียร์ให้เป็นไปตามาตรฐาน อีกหนึ่งคือเครื่องจักรที่ทำงานผลิตเบียร์เพื่อส่งออกไปประเทศต่างๆได้อย่างราบรื่น ถึงแม้วิสัยทัศน์และสถานการณ์ในตลาดการผลิตเบียร์ระหว่างเบลเยี่ยมและเนเธอร์แลนด์จะต่างกัน แต่ต่างก็มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่ลึกซึ้งและต่างก็ภูมิใจในการผลิตเบียร์ของตนเอง
.
.
.
ในขณะที่ดวงอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า ผู้ชายคนนั้นที่เกนต์ได้ซดเบียร์จดหมดแก้วและยกขึ้นไปในอากาศ เป็นสัญญาณให้รู้ว่าเบีร์รสชาติกลมกล่อมที่เขาได้สั่งมานั้นได้ถูกละเมียดละไมจิบไปเรื่อยๆจนหมดแก้ว ในขณะที่เมืองอูเทรคต์ ณ ประเทศเนเธอร์แลนด์ หญิงสาวดื่มเบียร์พิลส์เนอร์จนหมดและยิ้มออกมาอย่างสบายใจ ถึงแม้ว่าพวกเขาทั้งสองไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ในช่วงเวลานั้น — แม้ว่าจะถูกแยกจากกันด้วยพรมแดน แต่กลับเชื่อมโยงกันด้วยเบียร์ — เขาทั้งสองเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวเดียวกัน เรื่องราวที่ถูกหมักบ่มอย่างช้าๆ ด้วยความพิถีพิถันที่มีชีวิตไม่เพียงแต่ในขวดและในบาร์ แต่ข้ามผ่านศตวรรษและวัฒนธรรม
แหล่งอ้างอิง
Beer culture in Belgium – UNESCO Intangible Cultural Heritage:
https://ich.unesco.org/en/RL/beer-culture-in-belgium-01062
How beer culture became Belgian heritage | KU Leuven Stories: https://stories.kuleuven.be/en/stories/belgian-beer-culture-identity-on-tap
Dutch site about Netherlands beer history:
https://www.witteklavervier.nl/en/