นักประดิษฐ์ชาวดัตช์และเบลเยียม: ไอเดียที่ยังส่งผลต่อโลกของเราจนถึงวันนี้

  • Home
  • นักประดิษฐ์ชาวดัตช์และเบลเยียม: ไอเดียที่ยังส่งผลต่อโลกของเราจนถึงวันนี้
Shape Image One
นักประดิษฐ์ชาวดัตช์และเบลเยียม: ไอเดียที่ยังส่งผลต่อโลกของเราจนถึงวันนี้

ถึงแม้เนเธอร์แลนด์และเบลเยียมจะเป็นประเทศขนาดเล็ก แต่ผลงานของนักประดิษฐ์จากสองประเทศนี้กลับมีอิทธิพลต่อโลกอย่างยิ่งใหญ่ ความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขายังคงกำหนดวิถีชีวิต การเรียนรู้ และการสื่อสารของผู้คนมาจนถึงปัจจุบัน

สิ่งที่น่าสนใจคือ ทั้งสองประเทศนี้ไม่เพียงมีชื่อเสียงด้านวัฒนธรรม ศิลปะ และสถาปัตยกรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นบ้านของนักคิดผู้มองเห็น “ความเป็นไปได้” ในสิ่งเล็ก ๆ รอบตัว เช่น เลนส์แก้ว เครื่องดนตรี หรือแผ่นเสียงดิจิทัล ความอยากรู้อยากเห็น (Nieuwsgierigheid) และความคิดสร้างสรรค์ (Creativiteit) ของพวกเขาได้จุดประกายให้เกิดสิ่งประดิษฐ์ที่เปลี่ยนโลก และเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ว่า “ภาษาดัตช์” (Nederlands) ก็เป็นภาษาของผู้สร้างนวัตกรรมเช่นกัน

ลองมาทำความรู้จักกับนักประดิษฐ์ชาวดัตช์และเบลเยียมที่ยังคงมีอิทธิพลต่อโลกของเราจนถึงทุกวันนี้กันค่ะ

อันโทนี ฟาน เลเวินฮุค (Antoni van Leeuwenhoek)

ภาพเหมือนของ Anthonie van Leeuwenhoek  วาดโดย Jan Verkolje (ภาพจาก Wikimedia Commons)

ในช่วงปี ค.ศ. 1600s พ่อค้าผ้าชาวดัตช์ชื่อ อันโทนี ฟาน เลเวินฮุค (Antoni van Leeuwenhoek) ได้เริ่มสร้างเลนส์ขนาดเล็กด้วยตัวเอง แม้จะไม่ได้เป็นนักวิทยาศาสตร์โดยอาชีพ แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาสร้างกล้องจุลทรรศน์อย่างง่ายที่สามารถขยายวัตถุได้มากกว่า 240 เท่า ทำให้เขากลายเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นแบคทีเรียและสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กในน้ำ ซึ่งเขาเรียกว่า “Animalcules”

ผลงานของเขาถือเป็นจุดเริ่มต้นของ “จุลชีววิทยา” (microbiologie ในภาษาดัตช์) ซึ่งกลายเป็นพื้นฐานสำคัญของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ความสำเร็จของฟาน เลเวินฮุคแสดงให้เห็นว่า แม้คนธรรมดาที่ไม่มีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์อย่างเป็นทางการ ก็สามารถเปลี่ยนโลกได้ด้วยความพยายามและความหลงใหลในการเรียนรู้

นอกจากนี้ ฟาน เลเวินฮุคยังเป็นตัวอย่างของ “จิตวิญญาณดัตช์” (Nederlandse geest) ที่เชื่อมั่นในพลังของการสังเกตและการทดลองทุกครั้งที่เขาขัดเลนส์ด้วยมือ เขาไม่ได้เพียงสร้างเครื่องมือเท่านั้น แต่เขากำลังเปิดประตูสู่โลกที่มนุษย์ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย 

ทุกวันนี้ กล้องจุลทรรศน์ที่เริ่มจากไอเดียเล็ก ๆ ของเขา ยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญในโรงเรียน โรงพยาบาล และห้องทดลองทั่วโลก เป็นสัญลักษณ์ของการค้นพบและความอยากรู้อยากเห็นที่ไม่มีที่สิ้นสุด

คีส เชาแฮมเมอร์ อิมมิงก์ (Kees Schouhamer Immink)

Kees Schouhamer Immink พร้อมแผ่นคอมแพกต์ดิสก์ (ภาพจาก https://alchetron.com/Kees-Schouhamer-Immink)

หลายศตวรรษต่อมา วิศวกรชาวดัตช์ชื่อ คีส เชาแฮมเมอร์ อิมมิงก์ (Kees Schouhamer Immink) ได้เปลี่ยนแปลงวิธีที่ผู้คนฟังเพลงและจัดเก็บข้อมูล เขาทำงานร่วมกับบริษัท Philips และ Sony ในช่วงทศวรรษ 1980 เพื่อพัฒนา “แผ่นซีดี (Compact Disc)” หรือ cd-schijfje ในภาษาดัตช์ ซึ่งมีขนาดเล็ก ทนทาน และใช้งานง่าย

แผ่นซีดีได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วทั้งสำหรับการฟังเพลง (muziek luisteren) และการจัดเก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์ นวัตกรรมนี้ไม่เพียงเปลี่ยนวงการบันเทิงเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความเป็น “นักคิดเชิงเทคนิค” ของชาวดัตช์ ผู้ที่เชื่อว่าความคิดเล็ก ๆ ก็สามารถสร้างผลลัพธ์ยิ่งใหญ่ได้

อิมมิงก์ยังมีส่วนร่วมในการพัฒนา DVD และ Blu-ray ซึ่งต่อยอดจากหลักการเดียวกัน แม้ในปัจจุบันผู้คนจะนิยมการสตรีมออนไลน์มากกว่า แต่สิ่งประดิษฐ์ของเขาได้วางรากฐานสำคัญให้กับยุคดิจิทัล

คีส เชาแฮมเมอร์ อิมมิงก์ เป็นบุคคลตัวอย่างที่ดีของคำดัตช์ว่า innovatie — “นวัตกรรม” ที่เกิดจากความมุ่งมั่นและความคิดสร้างสรรค์แบบไม่หยุดนิ่ง

อดอล์ฟ แซกซ์ (Adolphe Sax)

ภาพเหมือนของ Adolphe Sax (ภาพจากเว็บไซต์ www.focus.it)

จากฝั่งเบลเยียม ก็มีอีกหนึ่งสิ่งประดิษฐ์ที่ใกล้ตัวเราในชีวิตประจำวันเช่นกัน เครื่องดนตรีที่เราคุ้นหูกันดีอย่าง แซกโซโฟน (saxofoon) 
ในปี ค.ศ. 1846 นักออกแบบเครื่องดนตรีจากเมืองดีน็องต์ชื่อ อดอล์ฟ แซกซ์ (Adolphe Sax) ได้จดสิทธิบัตรเครื่องดนตรีชนิดใหม่นี้ เขาต้องการสร้างเสียงที่รวมพลังของเครื่องทองเหลืองเข้ากับความนุ่มนวลของเครื่องลมไม้ ผลลัพธ์คือเสียงของแซกโซโฟนที่มีเอกลักษณ์และเต็มไปด้วยอารมณ์ 

สิ่งที่น่าทึ่งคือ แซกซ์เริ่มสนใจการออกแบบเครื่องดนตรีตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น เขาเติบโตมาในครอบครัวช่างทำเครื่องดนตรี และใช้เวลาส่วนใหญ่ในเวิร์กช็อปของพ่อ เขามักทดลองปรับเปลี่ยนรูปร่างของท่อโลหะและช่องลมเพื่อหาคุณภาพเสียงที่ดีที่สุด ความหลงใหลนี้นำไปสู่การประดิษฐ์ “แซกโซโฟน” ที่ในเวลาต่อมากลายเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นศิลปิน

หลังจากเปิดตัวครั้งแรก แซกโซโฟนได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในวงโยธวาทิต เพราะเสียงของมันดัง ชัด และทรงพลัง ทำให้ทหารสามารถสื่อสารจังหวะได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต่อมาในศตวรรษที่ 20 เครื่องดนตรีชนิดนี้ได้กลายเป็นหัวใจของดนตรีแจ๊ส โดยเฉพาะในผลงานของศิลปินระดับตำนานอย่าง Charlie Parker และ John Coltrane

ทุกวันนี้ แซกโซโฟนยังคงเป็นเครื่องดนตรีที่คนทั่วโลกหลงใหล เพราะมันสามารถถ่ายทอดอารมณ์ได้ทั้งความสุข, ความเศร้า, และความอิสระ มันไม่เพียงเป็นเครื่องดนตรี แต่เป็นภาษาหนึ่งของความรู้สึก  เช่นเดียวกับภาษาดัตช์ ที่สามารถสื่อสารความหมายได้ลึกซึ้งหากเราเปิดใจเรียนรู้ค่ะ


นักประดิษฐ์เหล่านี้ไม่ได้เพียงสร้างเครื่องมือเท่านั้น แต่พวกเขาได้เปิดมุมมองใหม่ให้มนุษย์ได้ “เห็น ได้ยิน และรู้สึก” ในรูปแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ผลงานของพวกเขาทำให้เราได้เข้าใจโลกใบนี้ในระดับที่ลึกขึ้น — ตั้งแต่การค้นพบสิ่งมีชีวิตเล็กที่สุด ไปจนถึงการบันทึกเสียงดนตรีและการสร้างเครื่องดนตรีที่ถ่ายทอดอารมณ์ของมนุษย์ได้อย่างงดงาม

แนวคิดของพวกเขายังคงส่งแรงบันดาลใจมาจนถึงทุกวันนี้ เป็นเครื่องเตือนใจว่า “ความคิดสร้างสรรค์” และ “ความอยากรู้อยากเห็น” สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่และยั่งยืนได้เสมอ

สำหรับผู้เรียนภาษาดัตช์ นี่ก็เป็นบทเรียนที่สำคัญ เพราะการเรียนรู้ภาษาคือการเปิดประตูสู่โลกใหม่ของความเข้าใจ การสื่อสาร และการมองเห็นความงดงามของวัฒนธรรมที่แตกต่างออกไป เช่นเดียวกับนักประดิษฐ์เหล่านี้ การก้าวเล็ก ๆ ที่เริ่มจากความอยากรู้ อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของเราได้เช่นกันค่ะ


แหล่งอ้างอิง
https://netherlandsexpat.nl/most-important-dutch-inventions/
https://www.expatica.com/be/moving/society-history/belgian-inventions-681232/
https://www.facebook.com/AlternativaRepresenta/photos/sabes-quienes-son-kees-schouhamer-immink-y-toshitada-doi-el-disco-compacto-fue-c/1041818932639631/